สวัสดี

ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปักหมุด 15 ที่เที่ยวสตูล เพชรเม็ดงามแห่งทะเลอันดามัน  (อ่าน 487 ครั้ง)

admin
  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 639
    • ดูรายละเอียด
ปักหมุด 15 ที่เที่ยวสตูล เพชรเม็ดงามแห่งทะเลอันดามัน

1. ถ้ำภูผาเพชร

          มาเริ่มต้นกับสถานที่แรกนั่นก็คือ "ถ้ำภูผาเพชร" ถ้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และใหญ่ติดอันดับ 4 ของโลก ตั้งอยู่ในตำบลปาล์มพัฒนา อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล เมื่อเดินทางเข้าไปภายในถ้ำจะพบห้องโถงขนาดกว้าง เพดานถ้ำสูง ๆ ที่เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยที่ยังคงมีหยดน้ำเกาะตัวอยู่ และเมื่อกระทบกับแสงไฟก็จะส่องเป็นประกายอย่างสวยงาม พร้อมทั้งมีการแบ่งชื่อแต่ละห้องตามลักษณะของธรณีสัณฐานที่พบออกเป็น 20 ห้อง เช่น "ห้องม่านเพชร" มีลักษณะคล้ายผ้าม่านแขวนอยู่, ห้องพญานาค มีหินงอกคล้ายงูใหญ่หรือพญานาค, ห้องปะการัง มีหินงอกหินย้อยคล้ายปะการังในทะเล

           และถ้าสังเกตจากประเภทของหินงอก (Stalagmite) ก็จะมีชื่อต่าง ๆ ตามรูปทรงที่พบเห็นมากถึง 31 แห่ง ส่วนประเภทหินย้อย (Stalactite) ก็มีทั้งหมด 4 แห่ง และสุดท้ายคือประเภทเสาหิน (Column in Cavern) ซึ่งเป็นส่วนของหินงอกและหินย้อยที่มาบรรจบกันแล้วมองดูคล้ายเสาค้ำยันเพดาน ถ้ำกว่า 14  แห่ง นอกจากนี้ยังมีประเภทเสาหินที่มีลักษณะต่าง ๆ กัน เช่น เสาเพชร หรือเสาหินย้อย หรือเสาค้ำสุริยัน รวมทั้งยังมีบ่อขั้นบันได ที่มีลักษณะเหมือนชายน้ำตกหินปูนที่เป็นชั้น ๆ เหมือนขั้นบันไดอีกด้วย

          ทั้งนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจเดินทางไปเยือนที่ "ถ้ำภูผาเพชร" ควรเตรียมตัวก่อนเดินทางให้พร้อม ทั้งไฟฉายติดตัวไปเพื่อส่องดูความงามภายในถ้ำ สวมใส่รองเท้าที่เดินสบาย พร้อมสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โทรศัพท์ 0 7472 0314-11

2. วัดชนาธิปเฉลิม

          "วัดชนาธิปเฉลิม" หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "วัดมำบัง" เป็นวัดแห่งแรกของเมืองสตูล ที่ตั้งอยู่บริเวณริมคลองมำบัง ถนนศุลกานุกูล ตำบลพิมาน อำเภอเมืองสตูล อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมชาวพุทธในจังหวัดสตูลที่มีอายุมากกว่า 100 ปีมาแล้ว สำหรับการเดินทางมาท่องเที่ยวภายในจะพบกับพระอุโบสถที่มีลักษณะแปลกไปกว่าทั่วไป คือ มีลักษณะเป็นทรง 2 ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูนคู่กับชั้นบนซึ่งเป็นอาคารไม้ ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของพระสงฆ์ ส่วนชั้นล่างใช้เป็นศาลาการเปรียญ ด้านหน้าพระอุโบสถเป็นระเบียง มีบันไดทั้ง 2 ด้าน

          นอกจากนี้ยังเป็นวัดที่หน่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมท้องถิ่นจังหวัดสตูลร่วมกับศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดสตูล โรงเรียนสตูลวิทยา ประกาศเป็นเขตอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย ทั้งนี้สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก วัดชนาธิปเฉลิม โทรศัพท์ 0 7471 1996 หรือเฟซบุ๊ก โรงเรียนเทศบาล2-วัดชนาธิปเฉลิม สตูล

3. มัสยิดกลางจังหวัดสตูล หรือมัสยิดมำบัง
 
          "มัสยิดมำบัง" ชื่อที่หลายคนรู้จักในชื่อเดิมคือ "มัสยิดเตองะห์" หรือ "มัสยิดอากีบี" ตั้งอยู่ในย่านตลาด เขตเทศบาลเมืองสตูล อำเภอเมือง ภายในออกแบบและตกแต่งในสถาปัตยกรรมแบบโดมเดียว คล้ายบัวตูม หรือ "เรือ" ในหมากรุกไทย บนยอดโดมมีสัญลักษณ์ดาวและพระจันทร์เสี้ยว แสดงถึงสัญลักษณ์การเผยแพร่ศาสนาอิสลาม สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น ชั้นใต้ดิน 1 ชั้น ใช้เป็นห้องประชุม และห้องสมุด, ชั้นกลางใช้ละหมาด พื้นหินขัด ผนังก่ออิฐถือโปกปูน สลับอิฐโปร่งสีน้ำตาล เพื่อระบายอากาศ ตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบ หลังคาเทคอนกรีตปูด้วยกระเบื้องดินเผา โดมเป็นเฟือง 8 เฟือง ประดับกระจกสีทองจากอิตาลี

 4. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล คฤหาสน์กูเด็น

          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล หรือคฤหาสน์กูเด็น ตั้งอยู่บริเวณถนนสตูลธานี ซอย 5 ตรงข้ามกับสำนักงานที่ดินจังหวัดสตูล สร้างเมื่อ พ.ศ. 2441 โดย พระยาภูมินารถภักดี หรือตวนกูบาฮารุดดินบินตำมะหงง (ชื่อเดิม กูเด็น บินกูแมะ) เจ้าเมืองสตูลในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2459
 
          สำหรับคฤหาสน์หลังนี้เดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คราวเสด็จเดินทางไปเมืองปักษ์ใต้แต่ไม่ได้ประทับแรม และเคยใช้เป็นบ้านพักและศาลาว่าการเมืองสตูล จนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อาคารหลังนี้ถูกใช้เป็นกองบัญชาการทหารญี่ปุ่น ต่อมาปี พ.ศ. 2540-2543 กรมศิลปากรได้ปรับปรุงคฤหาสน์กูเด็นขึ้นใหม่ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น ในรูปแบบตะวันตกผสมผสานแบบไทยอย่าง ประตูหน้าต่างรูปโค้งตามแบบสถาปัตยกรรมยุโรป หลังคาทรงปั้นหยาแบบไทยใช้กระเบื้องดินเผารูปกาบกล้วย บานหน้าต่างเป็นแผ่นไม้ชิ้นเล็ก ๆ เป็นเกล็ดแนวนอน ช่องลมด้านบนตกแต่งรูปดาวตามลักษณะสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม

          ส่วนภายในอาคารก็มีการจัดนิทรรศการแสดงประวัติศาสตร์เมืองสตูล วิถีชีวิตของชาวสตูลในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น ทั้งนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้ในวันพุธ-อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์, วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา 09.00-16.00 น. พร้อมทั้งสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก คฤหาสน์กูเด็น

 5. แหลมตันหยงโปและหาดทรายยาว

          แหลมตันหยงโปและหาดทรายยาว ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามของจังหวัดสตูลอีกหนึ่งแห่งที่ตั้งอยู่ทางปากอ่าวสตูล มีลักษณะเป็นแหลมที่ยื่นล้ำไปในทะเลอันดามัน มีหาดทรายขาวสะอาดสวยงาม และเป็นที่อยู่อาศัยของหมู่บ้านชาวประมง โดยจะพบเห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ บ้านเรือนชาวบ้านโดยทั่วไปของชาวประมง 

          ถัดจากแหลมตันหยงโปไปไม่ไกลมากจะเป็นที่ตั้งของ "หาดทรายยาว" ชายหาดสวย ๆ ที่แตกต่างจากหาดทรายที่อื่นทั่วไป เพราะที่นี่แวดล้อมไปด้วยทรายสีขาวเป็นแนวยาวเรียงคู่ขนานไปกับต้นหูกวางที่ขึ้นอยู่ริมหาด อีกทั้งบริเวณหาดยังเต็มไปด้วยเปลือกหอย ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพสวย ๆ อีกด้วย

6. ถ้ำเจ็ดคต
 
          ถ้ำเจ็ดคต หรือ "ถ้ำสัตคูหา" ตั้งอยู่ภายในหมู่ที่ 10  ตำบลน้ำผุด อำเภอละงู เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางไปได้ตลอดปี ภายในถ้ำเจ็ดคตมีความกว้าง 70–80 เมตร ยาวประมาณ 600 เมตร แบ่งเป็น 7 ช่วง (คูหา) ซึ่งมีบรรยากาศแตกต่างกัน และมีลำคลองไหลไปตามความคดเคี้ยวของตัวถ้ำ ทำให้ระดับน้ำภายในถ้ำมีความตื้นลึกไม่เท่ากัน โดยในช่วงหน้าแล้งน้ำลึกแค่ท่วมข้อเท้าเดินลุยไปได้อย่างสบาย  บางตอนอาจลึกเกิน 5 เมตร แต่ในช่วงหน้าฝน มีน้ำหลากจะเดินทางเข้าไปได้ค่อนข้างยาก นักท่องเที่ยวต้องเดินลัดเลาะไปตามริมผนังถ้ำ เดินลุยน้ำ  บางตอนเป็นหาดทรายผสมกรวดบ้าง บางคูหามีพื้นที่เป็นโคลนเลนต้องระมัดระวังในการเดินเป็นพิเศษควรมีไฟฉายติดตัวไปด้วย

          สำหรับถ้ำเจ็ดคตมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากถ้ำอื่น ๆ คือมีลำคลองลอดถ้ำคดเคี้ยวไปตามลักษณะธรรมชาติของตัวถ้ำมีถึง 7 คูหา เป็นที่มาของชื่อถ้ำแห่งนี้  มีผู้ตั้งชื่อใหม่ว่า "ถ้ำสัตคูหา" พร้อมตั้งชื่อของแต่ละคูหา ดังนี้

          ● คูหาที่ 1 เรียกว่า "สาวยิ้ม" ผนังถ้ำมีสีเขียวมรกต มีหินงอกหินย้อยอยู่หน้าถ้ำ

          ● คูหาที่ 2 เรียกว่า "นางคอย" มีหินงอก หินย้อย สวยงาม และฝูงค้างคาวจำนวนมาก

          ● คูหาที่ 3 เรียกว่า  "เพชรร่วง" ส่วนบนของผนังถ้ำมีช่องให้แสงอาทิตย์ส่องลอดลงมาได้ เมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับผนังถ้ำจึงเกิดประกายแวววาวเหมือนเพชร

          ● คูหาที่ 4 เรียกว่า "เจดีย์สามยอด" พื้นทางเดินเป็นหิน ลักษณะคล้ายดอกกุหลาบ

          ● คูหาที่ 5 เรียกว่า "น้ำทิพย์" ตามผนังถ้ำเป็นหินย้อยสีขาวและน้ำตาล เป็นหลืบซ้อนกันมองดูคล้ายผ้าม่าน

          ● คูหาที่ 6 เรียกว่า "ฉัตรทอง" มีหินงอก หินย้อย ซ้อนเหลื่อมกันเป็นชั้นเสมือนฉัตร

          ● คูหาที่ 7 เรียกว่า " ส่องนภา" ภายในมีหินงอก หินย้อย รูปทรงคล้ายดอกบัวคว่ำ

          ทั้งนี้สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0 7521 5867,0 7521 1058

7. น้ำตกโตนปลิว

          นอกจากทะเลสวย ๆ แล้วจังหวัดสตูลก็มีน้ำตกให้ท่องเที่ยวเช่นกัน นั่นก็คือ "น้ำตกโตนปลิว" ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 1  ตำบลวังประจัน อำเภอควนโดน บริเวณรอยต่อระหว่างป่าสงวนแห่งชาติหัวกาหมิง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง โดยมีบริเวณป่าต้นน้ำอยู่ที่ภูเขาหัวกาหมิง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทิวเขานครศรีธรรมราช ลักษณะทั่วไปของ "น้ำตกโตนปลิว" ประกอบด้วยชั้นน้ำตก 5 ชั้น โดยชั้นหลักชื่อ "โตนลำพร้าว" มีหน้าผาน้ำตกสูงประมาณ 40 เมตร กลายเป็นแอ่งน้ำขัง ชื่อ "วังบ่อ" กับ "วังเตย" เป็นต้น  ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่สามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสบาย ส่วนชั้นอื่น ๆ จะมีผาน้ำตกไม่ค่อยสูงนัก ทั้งนี้นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง

8. เกาะไข่
   
          "เกาะไข่" เอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดสตูล นั่นก็คือ "ซุ้มประตูหิน" ขนาดสูงใหญ่สามารถเดินลอดได้ โดยมีความเชื่อว่าหนุ่มสาวที่ได้ลอดผ่านซุ้มประตูหินนี้จะได้แต่งงานกัน ในช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ของทุกปี จังหวัดสตูลก็จะจัดให้มีการจดทะเบียนสมรสให้กับคู่บ่าวสาว ณ บริเวณซุ้มเกาะไข่อีกด้วย

          สำหรับที่ตั้งของเกาะไข่แห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างเกาะอาดังกับเกาะราวี ถือเป็นอีกหนึ่งเกาะที่มีชายหาดที่สวยงาม สะอาดเหมือนสีของเปลือกไข่ น้ำทะเลใส อีกทั้งยังเป็นเกาะที่มีความสำคัญทางระบบนิเวศ เพราะบริเวณชายหาดของเกาะมักจะมีเต่าทะเลชอบขึ้นมาวางไข่เสมอ และบริเวณรอบเกาะยังมีความอุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของปลาอีกด้วย โดยทางอุทยานไม่อนุญาตให้พักแรมบนเกาะ

 9. เกาะลิดี

          เกาะลิดี ประกอบด้วยเกาะสำคัญ 2 เกาะ คือ เกาะลิดีใหญ่และเกาะลิดีน้อย และมีเกาะเล็ก ๆ เสมือนบริวารตั้งอยู่ใกล้เคียงอีก 3–4 เกาะ ตั้งอยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา หมู่ที่ 4 ตำบลปากน้ำ อยู่ไม่ไกลจากอ่าวนุ่น ห่างจากฝั่งหมู่บ้านหัวหินประมาณ 1 กิโลเมตร สำหรับคำว่า "ลิดี" เป็นภาษามลายูแปลว่า "ไม้เรียว" อย่างไรก็ตามเสน่ห์ของเกาะลิดีที่หลายคนอยากไปสัมผัสคือความอุดมสมบูรณ์ของธรรมขาติ ทั้งหาดทราย, ป่าไม้บนภูเขา และป่าชายเลน มีหน้าผาและถ้ำเป็นที่อาศัยของนกนางแอ่น หาดทรายขาว และมีเวิ้งอ่าวยื่นเข้าไปในเกาะ เหมาะสำหรับเล่นน้ำทะเล รวมทั้งโขดหินที่มีรูปร่างประหลาดตามริมหาด และเมื่อน้ำลดสามารถเดินเที่ยวลัดเลาะไปตามชายหาดและเขาหินเล็ก ๆ ได้

          ส่วนการเดินทางไปเที่ยวที่เกาะลิดีใช้วิธีการไป-กลับก็ได้ หรือถ้าจะค้างคืนทางอุทยาน ก็มีบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว และมีสถานที่สำหรับกางเต็นท์พักแรมไว้บริการเช่นกัน ทั้งนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางไปจะต้องติดต่อกับทางอุทยานอีกทีหนึ่ง

10. เกาะหินงาม

          "เกาะหินงาม" แหล่งท่องเที่ยวขนาดเล็กทางทิศใต้ของเกาะอาดัง ที่มีความโดดเด่นบริเวณชายหาดที่เต็มไปด้วยหินสีดำกลมเกลี้ยง ซึ่งมีลวดลายสวยงาม ขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันไป เมื่อโดนคลื่นซัดก้อนหินจะมีความมันวาว ส่วนบริเวณกลางเกาะจะมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้สีเขียว อีกทั้งยังมีความเชื่อเล่ากันว่าหินทุกก้อนมีคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตา หากใครนำติดตัวไปจะเกิดหายนะ O__O


11. เกาะบุโหลน

          เกาะบุโหลน เป็นเกาะหนึ่งในหมู่เกาะของอุทยานแห่งชาติเภตรา ห่างจากท่าเรือปากบารา อำเภอละงู ประมาณ 22 กิโลเมตร ลักษณะของเกาะบุโหลนเป็นเกาะเล็ก ๆ มีหาดทรายขาวสะอาด เนียนนุ่ม น้ำทะเลใสแจ๋ว สามารถว่ายน้ำชมปะการังได้ตั้งแต่บริเวณริมชายหาด บนเกาะบางช่วงจะมีแนวต้นสนร่มรื่นสีเขียว ตัดกับหาดทรายสีขาวและท้องทะเลสีฟ้าอย่างงดงาม เกาะบุโหลนยังคงมีชาวบ้านดั้งเดิมอาศัยอยู่ นักท่องเที่ยวจึงจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตชาวเลอีกด้วย นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นเรือได้ที่ท่าเรือปากบารา มีเรือออกทุกวัน

12. เกาะเขาใหญ่

          เกาะหินปูนกลางทะเล อยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ห่างจากชายฝั่งบริเวณที่ทำการอุทยานประมาณ 10 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากท่าเรือปากบารา เพียงแค่ประมาณ 3-5 กิโลเมตรเท่านั้น ความพิเศษคือเวลาที่น้ำลดจะสามารถลอดช่องหินเข้าไปชมความสวยงามของ "ปราสาทหินพันยอด" สิ่งอัศจรรย์สุดอันซีนที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นจากการกัดเซาะหินของน้ำฝน จนกลายเป็นแท่งหินแหลมรูปร่างสวยงามแปลกตาคล้ายกับบนปราสาทในเทพนิยาย ชาวบ้านจึงเรียกกันว่าปราสาทหินพันยอด อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ธรณีวิทยา มีการพบฟอสซิลอายุมากกว่า 480 ล้านปี ชาวบ้านในชุมชนใกล้เคียงและอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงสนับสนุนการท่องเที่ยวให้เป็นไปในลักษณะเชิงอนุรักษ์

          ปัจจุบันเกาะเขาใหญ่เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานธรณีโลกสตูล โดยองค์การยูเนสโก (Satun UNESCO Global Geopark) ถือว่าเป็นแหล่งธรณีวิทยาแห่งแรกของเมืองไทยที่ก้าวไปสู่แหล่งธรณีวิทยาโลก

          อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา กำหนดให้มีการปิดเกาะในช่วงหน้าฝน เพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นตัว และหลีกเลี่ยงอันตรายจากคลื่นลมแรงอันจะทำให้นักท่องเที่ยวไม่ได้รับความสะดวกในการเที่ยวชม การปิดเกาะเขาใหญ่จะปิดตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม - 15 ตุลาคมของทุก ๆ ปี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา "Petra Islands National Park" หรือ เฟซบุ๊ก ปราสาทหินพันยอด การท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านบ่อเจ็ดลูก จังหวัดสตูล

13. ล่องแก่งวังสายทอง

          การล่องแก่งชมธรรมชาติที่น้ำตกวังสายทอง ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสุดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวที่นี่ โดยรอบบริเวณน้ำตกจะเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวนอนแช่น้ำหรือไม่ก็กระโดดน้ำจากชั้นบนลงมาแอ่งข้างล่างกันอย่างสนุกสนาน แถมยังมีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงา นับว่าเหมาะแก่การพาครอบครัวมาพักผ่อนจริง ๆ

          นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมล่องแก่งที่จะช่วยทำให้คุณสัมผัสความเย็นฉ่ำของสายน้ำได้เต็มที่ อีกทั้งบางช่วงบางตอนของการล่องแก่งอาจจะต้องพบกับช่วงน้ำเชี่ยวและกองหินที่โผล่พ้นขึ้นมา ซึ่งสร้างความน่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย และจำเป็นที่จะต้องอาศัยทักษะการหลบหลีกอย่างคล่องแคล่วของฝีพาย ทั้งนี้นักท่องเที่ยวสามารถเลือกระยะทางในการล่องแก่งได้ตามความสมัครใจ ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่ 8-10 กิโลเมตร

          สามารถเดินทางมาล่องแก่งได้ตลอดทั้งปี แต่ถ้าอยากรู้สึกสนุกมากเป็นพิเศษแนะนำให้มาเที่ยวช่วงหน้าฝน เพราะเป็นช่วงที่น้ำเยอะ แถมธรรมชาติสองข้างทางยังเขียวชอุ่ม ส่วนใหญ่กิจกรรมการล่องแก่งที่นี่มักจะรวมอยู่ในแพ็กเกจของสถานประกอบการที่พัก โดยสามารถโทรศัพท์สอบถามและติดต่อขอจองล่วงหน้าได้จากสถานประกอบการที่พักนั้น ๆ ได้เลย หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก ล่องแก่ง วังสายทอง จ.สตูล ณ.ทับทุ่งทอง ล่องแก่ง

14. ถ้ำเลสเตโกดอน

          ถ้ำดึกดำบรรพ์ที่สวยงามและยาวที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่บ้านคีรีวง ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า ถ้ำนี้เดิมชื่อว่า "ถ้ำวังกล้วย" แต่เหตุผลที่เปลี่ยนเป็น "ถ้ำเลสเตโกดอน" ก็เพราะว่ามีการค้นพบซากฟอสซิลของช้างสเตโกดอน ซึ่งเป็นชื่อช้างดึกดำบรรพ์ มีอายุเก่าแก่ ที่สำคัญค้นพบแห่งแรกและแห่งเดียวในพื้นที่ภาคใต้ ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ในศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราช พิพิธภัณฑ์ช้างทุ่งหว้า

          เมื่อเข้าไปในถ้ำคุณจะต้องตะลึงไปกับประกายระยิบระยับของแร่แคลไซต์ ที่เคลือบอยู่ตามก้อนหินรูปทรงแปลกตา ตลอดระยะทางทั้งสิ้นกว่า 4 กิโลเมตร ไฮไลต์เด็ดยังอยู่ที่ปากทางออกของถ้ำ ที่มีลักษณะคล้ายรูปหัวใจ ตรงออกไปยังคลองวังกล้วย ป่าชายเลนที่สมบูรณ์แห่งหนึ่งของเมืองไทย

15. สันหลังมังกร

          สันหลังมังกร หรือทะเลแหวก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันซีนแห่งใหม่ของจังหวัดสตูล สันหลังมังกรสตูลมีให้เห็นได้ที่ตำบลตันหยงโป โดยเรียกว่า สันหลังมังกรตันหยงโป จุดเด่นคือในช่วงที่น้ำลดจะเห็นน้ำแยกออกจากกันทั้งสองฝั่ง บริเวณสันทรายจะเป็นเปลือกหอยเล็ก ๆ นับล้านล้านตัวที่ถูกคลื่นซัดมาทับถมกันเป็นระยะทางยาวกว่า 4 กิโลเมตร พอสะท้อนกับแสงแดดจึงกลายเป็นสีเหลืองทองสวยงามราวเกล็ดมังกร

ตั๊กออแกไนท์สตูล รับงานแสดงละครรำ รำถวายแก้บนตามงานพิธีมงคลต่างๆ 
รับงานแสดงไทย โขน ละคร ฟ้อน รำ ทุกประเภท งบประมาณตามตกลงและพอใจ
รับงานแสดงไทย รำอวยพร รำแก้บน รำหน้าไฟ ผลงานของเรา
รำบวงสรวงพญานาคสตูล
นางรำสตูลเพลงรําถวายพ่อปู่ศรีสุทโธ
พิธีรำบวงสรวงพญานาคสตูล
สตูลรําบวงสรวงพญานาคประวัติ
ชุดรําบวงสรวงพญานาคสตูล
รําบวงสรวงพญานาคสตูล
ฟ้อนบูชาพญานาคสตูล
รําบวงสรวงพญานาคสตูล

  ติดต่อสอบถามเรา        
            

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 01, 2021, 12:36:12 AM โดย admin »