จากเขาวังก็มาถึง พระราชวังบ้านปืน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขาวังมากนัก ฉันได้ยินชื่อของที่นี่มานานแต่ไม่มีโอกาสแวะมาซักที ที่นี่เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 – 16.00 น. โดยค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท นักเรียนนักศึกษาในเครื่องแบบ 5 บาท ชาวต่างชาติ 50 บาท

ในปัจจุบัน พระราชวังบ้านปืน อนุญาติให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพได้เฉพาะตัวอาคารด้านนอกเท่านั้น ส่วนพื้นที่ด้านในสามารถเดินชมได้แต่ไม่อนุญาติให้ถ่ายภาพบันทึกความประทับใจด้วยสายตาและความทรงจำล้วนๆ

หลังจากแวะรับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว มุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไปซึ่งเป็นไฮไลต์ของทริป อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน บรรยากาศในช่วงบ่ายแก่ๆ ร้อนเอาเรื่อง แต่วิวทิวทัศน์ที่งดงามรอบเขื่อนก็ทำให้ฉันลืมความรู้สึกนี้ไปได้บ้าง


ลานกางเต้นท์อีกหนึ่งจุดของอุทยานฯ ในเวลานี้งดงามด้วยดอกกัลปพฤกษ์สีเหลืองสดใส ซึ่งจะเบ่งบานเต็มที่ในช่วงหน้าร้อน

มาเที่ยวแก่งกระจานเลือกพักได้หลายจุด ที่พักเอกชนรอบนอกอุทยานก็มีมากมาย หรือจะกางเต้นท์ในอุทยานก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ ฉันเลือกพักข้างในตัวอุทยานโดยจองบ้านพักของอุทยานฯไว้ อยู่ภายในบริเวณจากเขื่อน เป็นบ้านพักหลังใหญ่นอนได้ 10 คน ข้างในมีสิ่งอำนวยความสะดวก คือ พัดลม ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น ตามแบบฉบับของบ้านพักอุทยาน

มาถึงแก่งกระจานปุ๊บฝนตกทันที จากที่ตั้งใจจะชมพระอาทิตย์ตกแผนเลยต้องเปลี่ยน กิจกรรมของพวกเราในเวลานี้ คือ กิน เขื่อนแก่งกระจานมีร้านอาหารเยอะค่ะ แต่แนะนำร้านนี้เลย ครัวแก่งเพชร อยู่เลยมาจากที่ทำการอุทยานไม่ไกลนัก ที่นี่นอกจากวิวจะสวยอยู่ริมเขื่อนแต่ขออภัยที่ไม่ได้เก็บภาพบรรยากาศนั้นมาฝากเนื่องจากในเวลานั้นฝนตกเลยมุ่งแต่รับประทานเพียงอย่างเดียว อาหารรสชาติอร่อยทุกเมนู โดยเฉพาะเมนูปลาต่างๆ สดมาก มีหลากหลายเมนูให้เลือกราคาก็ไม่สูงมาก คณะฉันฝากท้องไว้ที่นี่ทั้งมื้อเย็นและกลางวัน มื้อแรกสั่งปลากระพงนึ่งมะนาว ยำผักกูดใส่กุ้ง ทอดมันปลา ผัดฉ่าปลากด ส่วนอีก 1 มื้อ หน้าตาอาหารตามนี้ค่ะ มีปลานิลสามรส แก่งป่าปลา และไก่อะไรซักอย่าง ซึ่งเป็นเมนูแนะนำ จำชื่อไม่ได้แล้วค่ะ





เช้าวันต่อมาก็ถึงเวลาที่เราต้องไปชมทะเลหมอกที่ เขาพระเนินทุ่ง ขึ้นไปชมทะเลหมอกหากใครไม่มีรถกระบะหรือรถส่วนตัว สามารถติดต่อเช่ารถกระบะที่ทำการอุทยานได้เลย คิดค่าบริการ 1600 บาท นั่งได้ 10 คน ราคานี้รวมแวะถ่ายภาพผีเสื้อตามจุดต่างๆ ระหว่างทางด้วยค่ะ รถกระบะจะมารับเราตั้งแต่ตี 5 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มาถึงยังทะเลหมอกพะเนินทุ่ง การขึ้นลงเขาพะเนินทุ่งเพื่อความเป็นระเบียบและป้องกันอุบัติเหตุเนื่องจากระยะทางบางช่วงค่อนข้างแคบ ทางอุทยานเลยจัดเวลาให้ขึ้นลงเป็นรอบ โดยจุดสตาร์รถจะเริ่มจากแคมป์บ้านกร่าง
วันธรรมดาจะเปิดให้รถขึ้นและลงแบ่งออกเป็น 3 รอบ
– เวลาขึ้นรอบที่ 1 ตั้งแต่เวลา 05.00-08.00 น. รอบที่ 2 เวลา 11.00-12.00 น. รอบที่ 3 ตั้งแต่เวลา1 5.00-16.00 น.
– เวลาลงรอบที่ 1 ตั้งแต่เวลา 09.00 -10.00 น.รอบที่ 2 เวลา 13.00 -14.00 น.รอบที่ 3 ตั้งแต่เวลา 17.00-18.00 น.
ช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวันเช่นช่วงปีใหม่กำหนดเวลาขึ้นลงไว้ 2 รอบ
– เวลาขึ้นรอบที่ 1 ตั้งแต่เวลา 05.00-08.00 น. รอบที่ 2 ตั้งแต่เวลา13.00 -15.00 น.
– เวลาลงรอบที่4 ตั้งแต่เวลา10.00-12.00 น. รอบที่ 2 ตั้งแต่เวลา17.00-18.00 น.

ตอนแรกแอบเซ็งเล็กน้อยมาถึง 7 โมง ไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้น แต่พี่คนขับบอกว่าพระอาทิตย์ขึ้นอีกฝั่งนึงไม่ใช่มุมที่มองเห็นทะเลหมอกอยู่แล้ว มาถึงเร็วกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์เพราะบรรยากาศก็มืดๆ ทึมๆ มาถึงเวลานี้ดีที่สุดฟ้าสว่างแล้ว

ทะเลหมอกพะเนินทุ่ง สามารถชมได้ตลอดปีเพราะทะเลหมอกที่นี่เกิดจากจากต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์คลายก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซต์ออกมาเกิดเป็นหมอกที่สวยงามไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน

มาถึงปุ๊บนักท่องเที่ยวเยอะมาก เลยได้แต่เก็บภาพในมุมเจาะมาเป็นส่วนใหญ่


หลบผู้คนมานั่งหาอะไรทานในยามเช้าที่ร้านอาหารของอุทยาน มีอาหารง่ายๆ ได้แก่ ข้าวแกง ข้าวต้ม กาแฟ โอวัลติน

เดินสำรวจโดยรอบ ตรงนี้ คือ ลานกางเต้นท์ หากใครมาแก่งกระจาน สามารถมากางเต้นท์ข้างบนได้อีก 1 จุด มีห้องน้ำให้บริการพร้อม

ระหว่างรอเวลาลงรถในรอบแรก คือ 9 โมง ก็เดินย้อนกลับไปที่จุดชมทะเลหมอกอีกครั้ง ในเวลานี้นักท่องเที่ยวไม่มีแม้แต่คนเดียว คงลงไปหาอะไรทานกันหมดแล้ว นับเป็นช่วงเวลาของพวกเราที่จะได้เก็บภาพในมุมกว้างๆกันบ้าง


เวลา 8 โมงกว่า สายหมอกก็ไม่ได้จางหายไปแต่กลับฟูฟ่องขึ้นมาคลอเคลียเหนือยอดเขา บรรยากาศในเวลานี้ เงียบ สงบ ผิดจากก่อนหน้านี้ที่ดูวุ่นวายแท้ เป็นช่วงเวลาที่ฉันได้ยินเพียงแต่เสียงใบไม้ และชะนีจากผืนป่าด้านล่างที่แข่งกันร้อง นั่งเล่นมองทะเลหมอกรอเวลาช่างมีความสุขจริง



9 โมง ได้เวลาที่อุทยานอนุญาติให้ลงจากเขาพะเนินทุ่งได้แล้ว จุดหมายต่อไปของฉัน คือ ไปยังแคมป์บ้านกร่างเพื่อไปเก็บภาพเหล่าบรรดาผีเสื้อ แต่ระหว่างทางจากเขาพะเนินทุ่งไปยังแคมป์บ้านกร่างก็มีผีเสื้อให้ชมเยอะเช่นกัน ลงมาได้ซักพัก เจอจุดแรกแอบตื่นเต้นกับภาพที่ได้เห็นเพราะไม่คิดว่าจะมี ผีเสื้อบินกันให้ว่อน ส่วนใหญ่เราจะพบเห็นได้เยอะตามบริเวณที่มีลำธาร เพราะในหน้าร้อนผีเสื้อจะบินออกมาหาความชุ่มชื่น

ปีนี้ผีเสื้อสีสวย ตัวใหญ่ และมีให้ชมหลากหลายพันธุ์ ปีที่แล้วฉันก็มาถ่ายภาพผีเสื้อที่แก่งกระจาน อยู่เฉพาะที่แคมป์บ้านกร่าง เห็นแต่พันธุ์เสือดาวสีส้ม ตัวไม่ใหญ่มากส่วนพันธุ์อื่นแทบไม่มีให้เห็น



นอกจากตามลำธารเราสามารถพบเห็นผีเสื้อได้ตามจุดที่มีกลิ่นหน่อยๆ อย่างภาพนี้เกาะอยู่ที่อุจจาระซึ่งคาดว่าน่าเป็นของช้างเพราะก้อนใหญ่ เกาะอยู่เยอะมาก ท่าทางคงเป็นแหล่งอาหารชั้นยอดของมันเลยทีเดียว

ผีเสื้อพันธุ์นี้น่าจะเป็นพันธุ์หางติ่ง ซึ่งพบเห็นได้เยอะและเห็นทุกปี แต่ปีนี้รู้สึกว่าสีจะสวยเข้มกว่าหลายครั้งที่เห็นมา

จากลำธารขุดแรกก็มายังจุดต่อไป จุดนี้เห็นเกาะอยู่ตามดินระหว่างทางเยอะมากเช่นกัน สมาชิกของเราก็นั่งส่องและเล็งกันเต็มที่

พยายามเก็บภาพผีเสื้อที่เกาะตามต้นไม้มาบ้าง แต่อย่าถามน่ะค่ะว่าแต่ละตัวพันธุ์อะไรบ้าง เน้นถ่ายภาพอย่างเดียว



เจ้าพันธุ์นี้ก็มีเยอะค่ะ ปีที่แล้วไม่เห็นเลย

มาถึงลำธารอีกจุด มีเยอะมากเช่นกัน ลำธารจากพะเนินทุ่งถึงบ้านกร่างมีอยู่ประมาณ 4 จุด ค่ะ ซึ่งทุกจุดมีผีเสื้อให้ชมหมด

จุดนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เจ้าผีเสื้อหยุดอยู่นิ่งๆ พอให้ได้ภาพแบบ close up มาบ้าง


กว่าจะมาถึงแคมป์บ้านกร่างก็เกือบเที่ยง จริงแล้วคาดหวังว่ามาถึงจะได้เห็นผีเสื้อบินว่อนทั่วที่ทำการเหมือนปีที่แล้ว แต่ปรากฎว่าปีนี้เงียบมากค่ะ ตามถนนแทบไม่มีให้ชมเลย จะมีให้ชมเพียงจุดเดียวตรงบริเวณลำธาร ซึ่งด้านหน้ามีป้ายเขียนไว้ว่า ค่ายเยาวชน นักท่องเที่ยวหลายคนกำลังส่องกันอย่างเพลิดเพลินท่ามกลางแดดร้อน

ผีเสื้อเป็นอีกหนึ่งอย่างที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามาแล้วจะเจอะเยอะมากน้อยแค่ไหน ต้องขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละวันด้วยค่ะ


เจ้าตัวนี้ลายสีเขียวสวยฉันยังไม่เคยเห็น แต่หลายคนอาจเคยเห็นมาบ้างแล้ว

เจ้าผีเสื้อน้อยแอบมาดูภาพของเพื่อนๆหลังจอด้วย จบทริปกันด้วยภาพนี้ เพชรบุรี ใกล้แค่นี้เองหากใครอยากมาชมผีเสื้อช่วงเดือนเม.ย. – พ.ค. เป็นช่วงที่เหมาะสมและมีผีเสื้อให้เราได้ชมเยอะกว่าช่วงเวลาอื่น จะเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ หรือค้างคืนก็ได้ หากค้างคืนแนะนำว่าไม่ควรพลาดชมทะเลหมอกพะเนินทุ่ง สำหรับฉันที่นี่เหมาะกับการมาพักผ่อนเป็นความรู้สึกว่านี่แหละธรรมชาติล้วนๆ
